“เอชไอวี” ไม่ใช่ “เอดส์”
คนที่มีเชื้อเอชไอวีนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นโรคเอดส์เสมอไป ผู้ติดเชื้อแต่ยังไม่มีอาการ สามารถดำเนินชีวิตได้เหมือนคนปกติ แข็งแรงเหมือนคนปกติ แต่ทั้งนี้หากผู้มีเชื้อไม่ได้รับการรักษา หรือภูมิคุ้มกันต่ำลงเรื่อยๆ จนร่างกายอ่อนแอ จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคขึ้น ถึงจะเรียกว่า “ภาวะโรคเอดส์” ทั้งนี้ การตรวจเลือดทุกครั้งที่มีความเสี่ยง ทำให้เรารู้สถานะเอชไอวีของตนเองได้เร็ว และเข้าสู่กระบวนการรักษาทันที ลดโอกาสที่จะเกิดโรค และอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้ในอนาคต
เอชไอวี ไม่ใช่เอดส์หมายความว่าอย่างไร
เพราะเอชไอวี เป็นเพียงไวรัสที่เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะโรคเอดส์เท่านั้น ไม่ใช่คนทุกคนที่ติดไวรัสชนิดนี้จะกลายเป็นโรคเอดส์ทุกคน โดยเฉพาะคนที่รู้ว่าตัวเองมีเลือดบวกได้ไว ก็จะสามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ทันที ไม่เกิดอาการเจ็บป่วย หรือเกิดโรคแทรกซ้อนให้ร่างกายอ่อนแอและไม่ป่วยเป็นเอดส์ ไวรัสเอชไอวีนั้นมุ่งเข้าทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวของร่างกายมนุษย์เป็นหลัก หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า CD4 (ซีดีโฟร์) ซึ่งทำหน้าที่ในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจเข้าสู่ร่างกาย โดยผู้ที่มีผลเลือดบวก และทานยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นประจำ จะไม่เจ็บป่วยจากโรคแทรกซ้อนเลย แต่หากไม่ได้รับการรักษาจะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อน ได้แก่ วัณโรค ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ จนเมื่อเชื้อไวรัสเอชไอวีทำลายเซลล์ CD4 จนมีปริมาณเหลือน้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม นั่นจะถือว่าเกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และเรียกว่า “โรคเอดส์”

เอชไอวี และโรคเอดส์ไม่ได้มีความน่ากลัวอย่างที่คิด
เอชไอวี ไม่ได้ติดต่อกันง่ายอย่างที่ใครหลายคนกลัว การอาศัยอยู่ร่วมห้องเดียวกันกับคนที่มีเชื้อไม่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อแต่อย่างใด เพราะเอชไอวีไม่ได้ติดต่อผ่าน การหายใจ ไอจาม แม้แต่การสัมผัส การกอด การจับมือ การใช้อุปกรณ์ออกกำลังกาย การสัมผัสพื้นผิวต่างๆ การเข้าห้องน้ำสาธารณะ หรือการโดนยุงที่กัดผู้ติดเชื้อมากัดเราต่อ ไม่ได้ทำให้ติดเชื้อเอชไอวีอย่างแน่นอน แต่เชื้อเอชไอวีสามารถติดต่อได้ผ่าน
- เลือดและสารคัดหลั่ง เช่น เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด น้ำนม
- การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- การสัก เจาะร่างกาย ด้วยอุปกรณ์ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
- การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก
นานแค่ไหนกว่าเอชไอวีจะกลายเป็นโรคเอดส์
เชื้อเอชไอวีนั้น สามารถแพร่เชื้อได้ทางการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้สวมถุงยางอนามัย นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้ที่ใช้สารเสพติดก็ยังสามารถส่งต่อเชื้อผ่านเข็มฉีดยาที่ใช้ร่วมกัน และจากแม่ที่มีเชื้ออยู่แล้วสู่ลูกน้อยในครรภ์ได้ด้วย โดยกว่าที่เชื้อไวรัสจะพัฒนาจนเข้าสู่ภาวะโรคเอดส์ มีระยะการติดเชื้อ ดังต่อไปนี้
- ระยะติดเชื้อเอชไอวีแบบเฉียบพลัน เป็นระยะเริ่มแรก หลังจากได้รับเชื้อ ประมาณ 14-30 วัน ซึ่งอาจมีอาการคล้ายคนเป็นหวัด มีไข้ รู้สึกอ่อนเพลีย ท้องเสีย จะมีอาการประมาณไม่กี่สัปดาห์และจะกลับมาเป็นปกติ ในระยะนี้ก็สามารถเจาะเลือดตรวจพบเชื้อได้แล้ว
- ระยะอาการ หรือระยะสงบทางคลินิก ระยะนี้ เชื้อไวรัสยังคงอยู่ในร่างกาย แต่มักไม่แสดงอาการ อย่างไรก็ตามในระยะนี้ยังสามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้
- ระยะเอดส์ กว่าจะถึงระยะนี้ หมายถึง ผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่รู้ตัวเลยว่ามีเชื้ออยู่ หรือไม่เคยได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเลย ในช่วงนี้ผู้ป่วยจะเริ่มมีสุขภาพที่อ่อนแอ ระบบภูมิคุ้มกันโรคก็ไม่อาจต้านทานเชื้อได้ จนทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้น และรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ในที่สุด
เอชไอวีไม่ได้น่ากลัว หากเรียนรู้และเข้าใจ
หากเราเข้าใจดีแล้วว่า เอชไอวีไม่ใช่เอดส์ เราจะสามารถเข้าใจและยอมรับการอยู่ร่วมกันกับผู้ติดเชื้อได้อย่างไม่กลัวเลย เพราะพวกเขาเหล่านี้ก็ใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนเราที่ไม่ได้มีเชื้อ เพียงแต่คล้ายกับคนที่มีโรคประจำตัวต้องทานยาตลอดเท่านั้น เชื้อไวรัสเอชไอวีเองก็ไม่ได้แพร่เชื้อได้ง่ายๆ แม้ในรายที่เป็นคู่รักผลเลือดต่าง ก็อยู่ร่วมกันได้ด้วยการทานยาเพร็พ (PrEP) หรือในกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงก็สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาต้านฉุกเฉินภายใน 72 ชั่วโมง หลังได้รับเชื้อเพื่อป้องกันโรคได้ด้วย